พบกับคำถามเกี่ยวกับข้อมูลนักลงทุนของ ปตท. ที่น่าสนใจ

1.แหล่งรายได้ของ ปตท. ประกอบด้วย 2 ส่วน

ส่วนที่ 1 คือ ธุรกิจที่ดำเนินงานเองโดย ปตท.

  • หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ
    ดำเนินธุรกิจการจัดหา ขนส่ง จัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติและผลิตภัณฑ์จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ และการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ในสถานีบริการ NGV โดยจัดหาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศ นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงการจัดหาในรูปของก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ Liquefied Natural Gas (LNG)
  • หน่วยธุรกิจน้ำมัน
    ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG) ผลิตภัณฑ์ น้ำมันหล่อลื่นและผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกทั้งมีการให้บริการและปฏิบัติการคลังสำรองผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้หน่วยธุรกิจน้ำมันยังมีบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินธุรกิจน้ำมันทั้งในและต่างประเทศ เช่น ธุรกิจค้าปลีกและสถานีบริการ ธุรกิจผสมและบรรจุน้ำมันหล่อลื่น และธุรกิจบริการเติมน้ำมันอากาศยาน เป็นต้น
  • หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
    ดำเนินธุรกิจจัดหาและการค้าระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับน้ำมันดิบ คอนเดนเสท ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ รวมทั้งรับผิดชอบในการจัดหาเรือขนส่งในการนำเข้าและส่งออกผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากบริษัทในกลุ่ม ปตท. ตลอดจนแสวงหาโอกาสในการทำการค้า การแลกเปลี่ยน (Physical Swap) และการทำการซื้อขายตลาดล่วงหน้า และ ทำธุรกรรมเพื่อบริหารความเสี่ยงด้านราคาที่มีความผันผวนสูง (Hedging)

ส่วนที่ 2 ธุรกิจที่ลงทุนผ่านบริษัทในกลุ่ม ประกอบด้วย

  • ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรลียม
    ปตท. ดำเนินธุรกิจต้นน้ำผ่าน ปตท.สผ. ซึ่งทำหน้าที่ในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมทั้งในและต่างประเทศรวมทั้งลงทุนในธุรกิจที่ต่อเนื่อง เพื่อแสวงหาแหล่งปิโตรเลียมทั้งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในราคาที่แข่งขันได้เพื่อสร้างความมั่นทางทางพลังงานให้กับประเทศ
  • ธุรกิจปิโตรเคมี
    ปตท. ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีในสายโอเลฟินส์และอุตสาหกรรมต่อเนื่องแบบครบวงจร ผ่านการร่วมทุนใน บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และบริษัทในกลุ่ม ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น ขั้นกลางและเม็ดพลาสติกประเภทต่างๆ รวมทั้งดำเนินธุรกิจด้านการตลาดเพื่อจำหน่ายเม็ดพลาสติกทั้งในและต่างประเทศ และให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรและให้บริการจัดหาสาธารณูปโภคต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
  • ธุรกิจการกลั่น
    ปตท. ดำเนินธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ธุรกิจปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์และสายโอเลฟินที่ใช้ผลิตภัณฑ์จากโรงกลั่นเป็นวัตถุดิบ ลงทุนผ่านการร่วมทุนในกลุ่ม 5 บริษัท ได้แก่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน) (TOP) บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) (PTTAR) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) บริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด (SPRC) และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP)
  • ธุรกิจการลงทุนต่างประเทศ
    ปตท. ดำเนินธุรกิจพลังงานในต่างประเทศเพื่อแสวงหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ และแหล่งพลังงานทดแทน และเป็นการต่อยอดธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยลงทุนผ่านบริษัท ปตท. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในธุรกิจเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย ธุรกิจระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติในประเทศอียิปต์เพื่อขนส่งก๊าซธรรมชาติจากประเทศอียิปต์ไปยังประเทศอิสราเอลและธุรกิจไฟฟ้าใน สปป.ลาว นอกจากนี้ ยังลงทุนในธุรกิจปาล์มน้ำมันที่อินโดนีเซียผ่านบริษัท พีทีที กรีนเอ็นเนอยี่ จำกัด อีกด้วย
2. ปตท. ผูกขาดธุรกิจท่อก๊าซธรรมชาติหรือไม่
ธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติเป็นธุรกิจเสรีภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 โดยผู้ประกอบการทุกรายสามารถดำเนินการได้ ไม่ว่าเป็นหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน โดยต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ปัจจุบัน ผู้ประกอบกิจการพลังงานรายอื่นๆ เช่น บริษัท อเมราดาเฮสส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทเอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์โพรดักชั่น โคราชอิงค์ กลุ่มบริษัท เชฟรอน และ ปตท. ต่างก็ได้มีการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติเพื่อการผลิตและจำหน่ายก๊าซธรรมชาติทั้งในทะเลและบนบก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากธุรกิจนี้ใช้เงินลงทุนในการก่อสร้างและดำเนินโครงการสูง และต้องประกอบกิจการภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่เข้มงวด โดยการกำหนดอัตราค่าบริการ (ค่าผ่านท่อ) ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 จึงทำให้มีผู้ประกอบการน้อยราย
3.ก๊าซธรรมชาติมีส่วนทำให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าถูกลงอย่างไร
โครงสร้างการกำหนดราคาจำหน่ายก๊าซธรรมชาติให้กับภาคการผลิตไฟฟ้าเป็นไปตามหลักเกณฑ์และการกำกับดูแลของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ประกอบด้วยราคาเนื้อก๊าซธรรมชาติ ค่าตอบแทนในการจัดหาและอัตราค่าผ่านท่อ โดยโครงสร้างราคาเนื้อก๊าซธรรมชาติที่ซื้อจากผู้ผลิตในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งอิงราคาน้ำมันเตา และส่วนที่เหลืออ้างอิงอยู่กับดัชนีทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมก๊าซฯและน้ำมัน โดยปกติราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับการผลิตไฟฟ้าโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 50 – 60 ของราคาขายปลีกน้ำมันเตา ส่งผลให้ในช่วงที่โลกเผชิญกับภาวะผันผวนของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ต้นทุนเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศเพิ่มขึ้นไม่มาก เนื่องจากใช้ก๊าซธรรมชาติที่ต้นทุนต่ำกว่า เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าและมีผลให้ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บอยู่ในระดับไม่สูง
4.ทำไมต้องอิงราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์

ตลาดสิงคโปร์เป็นราคาอ้างอิงที่สะท้อนถึงการซื้อขายของทุกประเทศในภูมิภาคเอเชีย ที่มีผู้ค้าน้ำมันมากกว่า 300 รายตั้งอยู่ อีกทั้งตลาดสิงคโปร์ยังเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียที่มีพื้นที่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุด ดังนั้นต้นทุนการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์จึงเป็นต้นทุนที่ถูกที่สุดที่โรงกลั่นไทยต้องแข่งขันด้วย นอกจากนี้ราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์มีการเคลื่อนไหวตามทิศทางเดียวกับตลาดในภูมิภาคอื่นๆ แต่มีความผันผวนน้อยกว่า ราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์จึงสะท้อนอุปสงค์และอุปทานน้ำมันที่แท้จริงของภูมิภาค

ถ้าประเทศไทยไม่อิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ และหากว่าไทยตั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูป “ต่ำกว่า” สิงคโปร์ จะทำให้ผู้ผลิตส่งออกน้ำมันแทน ผลที่ตามมาคือ ประเทศไทยอาจจะขาดแคลนน้ำมันสำเร็จรูปสำหรับผู้บริโภคภายในประเทศ

5.โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเป็นอย่างไร

ราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ ถือเป็นตัวแปรสำคัญตัวหนึ่งในการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ แต่อีกหนึ่งตัวแปรที่สำคัญ คือ การกำหนด “โครงสร้างราคาน้ำมัน” ของแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันของแต่ละประเทศแตกต่างกัน หากพิจารณาจากโครงสร้างราคาน้ำมันขายปลีกของไทย โดยเฉลี่ยร้อยละ 50 - 65 ของราคาขายปลีกเป็นต้นทุนเนื้อน้ำมันสำเร็จรูป ที่ยังไม่รวมค่าขนส่งหรือที่เรียกอีกอย่างว่า “ราคา ณ โรงกลั่น” อีกร้อยละ 30 - 45 เป็นค่าภาษีและเงินนำส่งกองทุนที่เหลืออีกร้อยละ 5 เป็นค่าการตลาด

ดังนั้นหาก มีการจัดเก็บภาษีและเงินนำส่งกองทุนในอัตราที่สูงก็จะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันสูงขึ้นด้วยอัตราภาษีและเงินนำส่งกองทุนดังกล่าวประกอบด้วย ภาษีสรรพาสามิต ภาษีเทศบาล ภาษีมูลค่าเพิ่ม กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (http://www.eppo.go.th/petro/price/index.html)

6. ปิโตรเคมีสร้างมูลค่าเพิ่ม พัฒนาเศรษฐกิจไทย

ปตท. มีจุดเริ่มต้นเพื่อต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย เพราะผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ผลิตได้จะถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ อีกมากมาย เช่น อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ สิ่งทอ ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ก่อสร้าง และสินค้าเกษตร เป็นต้น

โดยยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของกลุ่มปตท. ในปัจจุบันได้เน้นการเชื่อมโยงสายการผลิต การพัฒนาเป็นกลุ่ม และความร่วมมือทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ

7.นโยบายการจ่ายเงินปันผลของ บริษัท ปตท. เป็นอย่างไร

บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิที่เหลือหลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่บริษัทได้กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับแผนการลงทุน ความจำเป็น และความเหมาะสมอื่นๆ ในอนาคต ตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา ปตท. จ่ายเงินปันผล เฉลี่ยร้อยละ 30-44

8. การเครดิตภาษีเงินปันผล กรณีได้รับเงินปันผลจากบริษัท ปตท. ซึ่งมีการเสียภาษีหลายอัตรา บุคคลธรรดาจะใช้ประโยชน์จากเครดิตภาษีอย่างไร

ผู้มีเงินได้ ซึ่งได้รับเงินปันผล ตาม มาตรา 40(4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ที่จ่ายจากบริษัท ปตท. ได้เครดิตภาษีสำหรับเงินปันผล ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ตามสูตรคำนวณ ดังนี้

เครดิตภาษีเงินปันผล =
อัตราภาษีเงินได้ของปตท.
X จำนวนเงินปันผลก่อนหักภาษี
100-อัตราภาษีเงินได้ของปตท.

หมายเหตุ: โดยปกติ ปตท. จะระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย อย่างชัดเจนว่าเงินได้ที่จ่ายนั้นจำนวนใด ได้มาจากการเสียภาษีเงินได้ในอัตราใด

9. ผู้ลงทุนประเภท NVDRs จะได้รับเงินปันผลเหมือนผู้ถือหุ้นสามัญหรือไม่
จุดประสงค์หลักของการลงทุนใน NVDRs เพื่อกระตุ้นการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย การลงทุนใน NVDRs ผู้ลงทุนได้รับสิทธิประโยชน์ทางการเงิน เช่น เงินปันผล และสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน เช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียน ดังนั้น ผู้ถือ NVDRs จะได้รับเงินปันผลโครงสร้างเดียวกับผู้ถือหุ้นสามัญ แต่จะไม่สิทธิลงมติในการประชุมผู้ถือหุ้น